วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่น

แชร์ประสบการณ์

แชร์ประสบการณ์
      ประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าจะมาแชร์ในวันนี้เป็นเรื่อง  พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นในปัจจุบัน”  ทุกวันนี้ไม่ว่าดิฉันจะไปไหนมาไหนก็จะเห็นเด็กๆวัยรุ่นมีโทรศัพท์มือถือกันทุกคนซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกในยุคปัจจุบันนี้เพราะโทรศัพท์ก็กลายเป็นปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตประจำวันไปแล้วแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ยกมาพูดคุยกันในวันนี้แต่ประเด็นที่อยากจะพูดคุยในวันนี้ก็คือ พฤติกรรมการแต่งตัว การพูดจา และการมีความรักฉันชู้สาวก่อนวันอันควร ของเด็กสมัยนี้
อย่างแรก คือ พฤติกรรมการแต่งตัวโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงแท้ๆและเด็กผู้ชายแท้แต่อยากเป็นหญิงก็จะเห็นว่าเด็กสมัยนี้กล้าที่จะแต่งตัววาบหวิวไม่ว่าจะเป็นเสื้อที่โชว์นู่น นี่ นั่น หรือกางเกง กระโปรงก็ต้องสั้นได้ใจเข้าไว้ แถมยังแต่งหน้าทาปากครบเซ็ทซึ่งข้าพเจ้าดูยังไงๆก็ดูไม่เหมาะกับวัยของเค้าเอาเสียเลย
อย่างที่สอง   คือพฤติกรรมการพูดจาเด็กสมัยนี้เค้าก็จะกลับไปใช้ภาษาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมาพูดกันแต่ผิดตรงที่ภาษามันไม่สละสลวยเท่ายุคสมัยนั้นฟังแล้วก็เหนื่อยในใจ เช่น มึง กู ตะกวด ดอกไม้งี้ แล้วก็ยกสวนสัตว์มาไว้ในปากซะงั้นย้อนไปเมื่อข้าพเจ้ายังเด็กสาบานได้ว่าจะไม่เคยได้ยินคำพูดเหล่านี้เลย หรืออาจเป็นเพราะวัฒนธรรมการพูดของแต่ละท้องถิ่นอย่างข้าพเจ้าอยู่ภาคเหนือก็จะใช้สรรพนามเรียกแทนตัวเองว่า  (เปิ้น) *ฉัน   , (ตั๋ว)*เธอ ,(ปี้)*พี่  ,เป็นต้นอย่างภาคอีสานเค้าก็ (เจ้า)*เธอ,(ข่อย)*ฉัน  อย่างนั้นเหรอมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวนะข้าพเจ้ามันน่าจะมาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อมและสังคมมากกว่าการที่ผู้ใหญ่อย่างเราพูดให้เค้าได้ยิน ทำให้เค้าได้เห็น ทั้งพฤติกรรมการพูด หรือพฤติกรรมการแต่งตัวก็ล้วนแล้วเกิดจากการลอกเลียนแบบพฤติกรรมจากผู้ใหญ่อย่างเราทั้งนั้นไม่ว่าจะจากสื่อหรือในชีวิตประจำวัน  พอพูดถึงสื่อแล้วก็ได้มีโอกาสดูรายการสื่อของ ประเทศลาว ก็รู้สึกภูมิใจแทนเค้าและอยากให้เราเอาแบบอย่างของเค้ามาใช้บ้าง คือ แม่หญิงลาวทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก , นักเรียน , นักศึกษา ,พิธีการรายการโทรทัศน์ของเค้าจะใส่ผ้าถุง (ไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกว่าผ้าถุงหรือเปล่า เห็นแล้วก็ภูมิใจแทน  น่าร้ากอ่ะ  คือเค้ายังคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตและความเป็นวัฒนธรรมของเค้าไม่จำเป็นต้องแบบว่า
ฝรั่งจ๋า  เกาหลีจ่ะ  ก็ได้อ่ะ   อย่างสุดท้าย   คือเด็กสมัยนี้มีแฟนกันตั้งแต่ประถมแล้วอ่ะตลกมาก(ปนแปลกใจ) ไปไหนมาไหนก็จะเห็นเด็กผู้หญิงผมบ๊อบกับเด็กผู้ชายหัวเกรียนจับมือถือแขนกันโอบไหล่กอดคอกันโดยไม่แคร์สื่อ(ไม่ใช่)โดยไม่แคร์สายตาประชาชีเลยถึงแบบขนาดว่ามีข่าวลงตามสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ว่าเด็กนักเรียนหญิงตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชายหรือว่าโตขึ้นมาหน่อยระดับมหาวิทยาลัยก็หึงกันจนต้องถืงกับฆ่ากันเลยทีเดียว เฮ้อ! ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเด็กก็ควรจะใช้ชีวิตวัยเด็กให้มันคุ้มเรื่องฟงเรื่องแฟนปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เค้าถามก่อนว่าหุงข้าวให้สุกทำเป็นรึยัง (อันนี้แอบยืมคำพูดของแม่มาพูดเลยนะนี่) แต่ถ้าเอามาถามเด็กสมัยนี้มันก็คงจะบอกว่าหุงทำไมก็ซื้อเอาดิ  แล้วถามว่าหาเงินเองเป็นยังเวลาจะซื้อของขวัญให้คนที่เรียกว่าแฟนยังแบเงินขอเงินพ่อแม่อยู่รึเปล่าคิดเอา
(แต่ถ้าสำหรับข้าพเจ้าตอนเด็กไม่กล้าแม้แต่จะคิดเพราะแค่เอาลิปสติกแม่มาทาปากเล่นพ่อก็บอกว่าเดี๋ยวเตะเปรี้ยงเลยแก่แดดนักนะเอ็ง) สุดท้ายก็ขอฝากผู้ใหญ่ทุกคนด้วยแล้วกันมีลูกสอนลูกมีหลานสอนหลานโดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเราพลาดแล้วพลาดเลยนะจ๊ะ  ซิบอกให้

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

มาร่วมแต่งนิทานสอนใจร่วมกันนะค่ะ

ตัวอย่างนิทาน


ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า
มันวิ่งได้เร็วมาก จนหลงตัวเองว่าในป่าแห่งนี้ไม่มีใครวิ่งเร็วชนะ
ตนเองได้ วันหนึ่งกระต่ายเดินร้องเพลงมาอย่างสบายใจ
และพบกับเต่าเข้า เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงพูดกับเต่าว่า
“มัวแต่คลานต้วมเตี้ยมอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะ
แบบนี้ข้าว่า…ข้าต่อให้เจ้าคลานล่วง หน้าไปก่อนสักครึ่งวันข้า
ก็วิ่งตามทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กระต่ายหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าเต่า
“ข้าก็คลานของข้าแบบนี้ของข้ามาตั้งนานแล้ว”
เต่ารู้สึกไม่พอใจที่กระต่ายพูดจาแบบนั้นใส่ตน
แล้วพูดต่ออีกว่า “กระต่าย หลงตัวเองอย่างเจ้า
ไม่เห็นว่าจะเก่งตรงไหนดีแต่โม้ไปวันวัน”
กระต่ายผู้ทะนงในความวิ่งเร็วของตนเองเห็นเต่าพูดจาอย่างนั้น
จึงพูดขึ้นว่า  “งั้นแน่จริงกล้าวิ่งแข่งกับข้าไหมล่ะ?
เจ้าเต่าต้วมเตี้ยม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่กล้าล่ะสิ”
เต่าตอบทันควันว่า “ตกลง…เรามาวิ่งแข่งกัน
ใครถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นชนะ” กระต่ายแทบไม่เชื่อ หูตัวเอง
“เจ้านะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าต่อให้เจ้าก่อนก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ทันใดนั้นเจ้านกน้อยบินผ่านมาพอดีเต่าและกระต่ายจึง
ขอให้นกน้อยเป็นกรรมการตัดสินให้ เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น
กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้านำเต่าไปก่อน
พอถึงกลางทางหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของเต่า
เจ้ากระต่ายจึงนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนเผลอหลับไป
ส่วนเจ้าเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยมๆอย่างไม่ย่อท้อโดย
มีเพื่อนสัตว์ป่าส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ เนื่องจากเพื่อนทุก
ตัวไม่ชอบนิสัยของเจ้ากระต่ายขี้คุย เจ้าเต่ายังคงคลานต่อ
ไปจนแซงหน้ากระต่ายที่มัวแต่นอนหลับอยู่
เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเจ้าเต่าคลานจะถึงเส้นชัยแล้ว
มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหวังจะไล่ให้ทัน
แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไป
แสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่าย
ได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
นิทานอีสป เรื่องกระต่ายกับเต่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
บางคนก็เรียก นิทานอีสปเต่ากับกระต่าย